Tuesday, July 16, 2013

1. วิธีเลือกหุ้น ตอน "ความเชื่อ"

     จะลองเล่นหุ้น ซื้อหุ้นอะไรดี?.......อันนี้เป็นคำถามยอดนิยมที่ไม่ว่ากี่สิบปีผ่านมาก็ยังไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความรู้ของผู้ตอบ และคำตอบที่ผมจะตอบให้ฟังก็ขอให้เป็นแค่เพียงข้อคิดเห็น ไม่ได้บังคับให้เชื่อ (เชื่อหรือไมเชื่อโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบ) โดยสาเหตุที่คำถามนี้เป็นคำถามที่คนถามบ่อย เพราะความรู้พื้นฐานในการพิจารณาคำตอบของคำถามนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากถ้าพูดกันตามตรงว่า คนที่ลงทุน(กล้า) ในหุ้นนั้นยังไม่ใช่คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ ไม่เหมือนกับการฝากเงินในธนาคารที่พูดขึ้นมา ก็นึกภาพกระบวนการทำงานออก คือ

มีเงิน > เดินไปเคาน์เตอร์ธนาคาร  > ฝากเงิน  > ได้ดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นตามระยะเวลาที่เลือกฝาก

     ในทางกลับกันน้อยคนกว่าที่จะมานั่งถามกันว่าฝากเงินที่ไหนดี เพราะคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ว่าดูอย่างไร เช่น ที่ไหนให้ดอกเบี้ยสูงๆ และชื่อเสียงของธนาคารไม่แย่นัก ก็นำไปฝากที่นั่น
     อีกอย่างเมื่อเราอายุเข้าถึงวัยหนึ่ง เช่น ของผม 8-10 ขวบ (ครอบครัวคนอื่นอาจต่างออกไป) พ่อแม่ก็จูงมือไปธนาคารพร้อมกับช่วยสนับสนุนให้เราเปิดบัญชีธนาคารครั้งแรก เพื่อให้เรารู้จักกับการออมเงิน แต่ไม่่ค่อยเห็นครอบครัวไหนเมื่อถึงวัยหนึ่งที่เหมาะสม เช่น 18-23 ปี พ่อแม่จูงมือลูกพาไปเปิดบัญชีเล่นหุ้น เพื่อให้รู้จักการออมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่(อาจ) เหมาะสมกับอายุและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นไม่แปลกที่การหายไปของกระบวนการเรียนรู้ขั้นที่สองนั้น ทำให้คนเรายึดติดกับการฝากเงินในธนาคารจนไม่เอาเงินไปไว้ที่อื่น

     ผมจะขอตอบปัญหา "ความเชื่อ" ต่างๆที่ทำให้คนทั่วไปไม่ลงทุนในหุ้น

1. ยุ่งยาก และใช้เงินเยอะ
     ในอดีตการลงทุนในหุ้นอาจมีความยุ่งยากจริง คือ ต้องมีตั๋วหุ้น เซ็นสลักหลัง โอนซื้อขาย เอกสารมากมาย แต่ในปัจจุบันขั้นตอนเหล่านั้นลดลงไปมาก คือใช้ระบบไม่มีตั๋ว (scriptless) ซื้อขาย online หรือ โทรศัพท์สั่งซื้อขายก็ยังได้ (แต่ค่าธรรมเนียมอาจแพงกว่า) และคนส่วนใหญ่คิดว่าลงทุนในหุ้นต้องลงเป็นแสนเป็นล้านบาท ในปัจจุบัน เราสามารถลงทุนในหุ้นเป็นหลักพันบาทก็ยังได้  ระบบในปัจจุบันทำมารองรับผู้เล่นทั้งรายย่อยและรายใหญ่ ไม่ใช่ที่สำหรับคนรวยอีกต่อไปครับ ดังนั้นอย่าติดกับภาพเดิมๆ จนทำให้คุณเสียโอกาส

2. ความเสี่ยงสูง กลัวขาดทุน
     ก่อนอื่นเรามาปรับความเข้าใจกันก่อนว่า "ความเสี่ยง" ในความหมายของผมคืออะไร ความเสี่ยงในความหมายของผมคือ "ความผันผวน" ของราคาสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงมาก เช่น หุ้น ก. วันนี้ 5 บาท พรุ่งนี้ 6 บาท ส่วน หุ้น ข. วันนี้ 5 บาท พรุ่งนี้ 15 บาท ดังนั้นหุ้น ข. มีความเสี่ยง(ของราคา) มากกว่าหุ้น ก. แต่ความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่หมายถึงกันคือ ความเสี่ยง "ขาดทุน" อันนี้คนละมิติกับผมนะครับ ถ้ามองความเสี่ยงเป็นอย่างหลังสำหรับผมเหมือนเป็นคนมองโลกด้านเดียว คือ ถ้าโดดเข้าไป มีแต่จะตกเหว เลยเลือกที่จะไม่โดดดีกว่า แต่ความจริงแล้วโดดเข้ามาอาจไม่ได้ตกเหว อาจลอย หรือ อยู่เท่าเดิม หรือ ตกแต่ไม่ใช่เหว เป็นบ่อน้ำ ก็ได้ แล้วแต่ลักษณะของการโดด แต่ถ้ามองว่าโดดเข้ามาแล้วจะตกเหวอย่างเดียว ขอย้ำว่าห้ามเล่นหุ้น.....คุณต้องปรับทัศนคติต่อหุ้นเสียก่อนครับไม่อย่างนั้นเหตุผลอะไรก็ไม่ฟัง เอาแต่บ่นว่า "เห็นมั้ย บอกแล้วว่าหุ้นยังไงก็ขาดทุน" "หุ้นคือการพนัน" ถ้าเล่นด้วยทัศนคตินี้จะเป็นทุกข์เปล่าๆครับ

      หลังจากปรับความเข้าใจเรื่องความเสี่ยง และทัศนคติที่มีต่อหุ้นได้แล้ว ผมจะอธิบายเปรียบเทียบความเสี่ยงของการฝากเงินกับการเล่นหุ้นให้ฟังนะครับ เหตุที่เปรียบกับการฝากเงินเพราะยังถือเป็นช่องทางการออมเงินส่วนใหญ่ของคนเราอยู่......ตอนต้นผมได้อธิบายขั้นตอนการฝากเงินแบบง่ายๆให้ฟัง แต่!!! ไม่จบสมบูรณ์ดี ขอนำกลับมาพูดถึงกันต่อครับ

มีเงิน > เดินไปเคาน์เตอร์ธนาคาร  > ฝากเงิน > หยุด! ตรงนี้กันก่อนครับก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ได้ดอกเบี้ยและเงินต้นคืน ธนาคารต้องนำเงินฝากของท่านไปหากำไรก่อนครับ ธนาคารไม่ได้รับฝากเงินของท่านมานอนไว้เฉยๆ แล้วเมื่อถึงเวลาก็จ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา ถ้าทำแบบนั้นธนาคารเจ๊งกันหมดทั่วโลกแล้วครับ 

     ธนาคารหากำไร เพื่อนำเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ฝากเงิน ชำระต้นทุนการดำเนินงานของธนาคาร และที่เหลือก็ให้ "เจ้าของ" ธนาคาร(หรือผู้ถือหุ้นของธนาคาร)

     โดยประเด็นที่ผมจะพูดถึงนี้คือ ธนาคารหากำไรอย่างไร เพราะจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้ธนาคารเกิดความเสี่ยง และทำให้ผู้ฝากเงินตาดำดำเกิดความเสี่ยงตามไปด้วย และตรงนี้สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความเสี่ยงในการเล่นหุ้นได้ครับ
     กำไรหลักๆของธนาคารนั้น คือ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารใช้เงินของผู้ฝากเงินไปปล่อยกู้ต่อให้กับบริษัทห้างร้านต่างๆ ดังนั้นความเสี่ยงของธนาคาร คือ เงินที่ปล่อยกู้ให้บริษัทต่างๆหลายๆบริษัทนั้นจะได้คืนหรือไม่ ถ้าบริษัทที่ปล่อยกู้เจ๊งพร้อมกันหมด ธนาคารก็เจ๊งเหมือนกัน ผู้ฝากเงินก็ไม่ได้เงินคืน ดังนั้นเราสามารถเปรียบได้ว่าผู้ฝากเงินในธนาคารคล้ายกับกำลังเล่นหุ้นของบริษัทที่ธนาคารปล่อยกู้ เพราะเราจะได้เงินคืนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของบริษัทเหล่านั้น แต่ต่างกันตรงที่ ถ้าบริษัททำกำไรได้ดี ธนาคารได้ดอกเบี้ยเงินกู้เป็นรางวัล แต่เราไม่ได้อะไรเลยนอกจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่ธนาคารได้สัญญาไว้แต่แรก ทั้งๆที่ความเสี่ยงของเราเท่ากับการถือหุ้นอยู่แท้ๆ*

*- มิได้กล่าวถึงกองทุนประกันเงินฝาก เพราะอุดมคติคือลดให้เหลือศูนย์
  - มิได้กล่าวถึงการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร

3. ไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้น เพราะรวยอยู่แล้ว
     ข้อนี้ต้องบอกว่าเป็นความเชื่อที่ "ถูกต้อง" ครับ ผมหมายถึงว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องเล่นหุ้น ถ้าเงินที่มีอยู่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ภายใต้รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เป็นปรกติ......บางคนอาจจะงงครับว่า "ภายใต้รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เป็นปรกติ" คืออะไร เพราะผมเคยคุยกับผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ท่านกล่าวว่าท่านไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นเลยถึงแม้ว่าจะมีเงินน้อย ท่านเลือกที่จะใช้วิถีพระ คือ ทานข้าววันละสองมื้อ เที่ยง เย็น (อาจไม่เหมือนพระเต็มที่เพราะ พระท่านฉัน เช้าเที่ยง) เลือกดื่มน้ำที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่เพราะสะอาดกว่าที่บ้าน เป็นคนไม่เข้าสังคมไม่ทานข้าวนอกบ้าน เพราะไม่ชอบนอนดึก ฯลฯ อันนี้ผมถือว่าเป็นชีวิตที่ลำบากไปเสียหน่อย แต่ถ้าใครพอใจแบบนี้ก็ถือว่าเป็นปรกติได้ครับ ผมอาจใช้มาตรฐาน(ที่ไม่ได้สูง) ของผมเป็นตัววัด ต้องขอโทษที่กล่าวถึงชีวิตในรูปแบบนี้ในแง่ลบ แต่ขอให้ถือเป็นแค่ตัวอย่างของคำว่า "ภายใต้รูปแบบการดำเนินชีวิตที่เป็นปรกติ" เพียงเท่านั้น อย่าถือว่าเป็นการดูถูกอะไรกันเลยนะครับ
     ผมขอเตือนอะไรเล็กน้อยสำหรับหัวข้อนี้ครับว่า จริงอยู่ถ้ามีเงินมากอยู่แล้วเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตไปตลอดชีวิตของตัวเองและคนที่ต้องดูแล ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนอะไรเลย ทั้ง หุ้น หรือเงินฝาก แต่!!!     คุณแน่ใจได้อย่างไรเล่าว่าสิ่งนั้นจะอยู่กับคุณไปตลอด ลองถามตัวเองว่า เรามีเงินใช้ทั้งชีวิตแน่หรือ? ลองเอาไปคิดดูนะครับ ถ้าคำตอบคือ "ใช่" ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านblogนี้ต่อไป แต่ถ้าคำตอบคือ "ไม่" ก็สละเวลาอ่านบ้าง เผื่อจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างครับ

     เขียนมาเสียยืดยาว ขอสรุปกันเสียหน่อยนะครับ คือ สรุปว่า ถ้าจำเป็นต้องลงทุน ไม่ได้มีเงินมากพอใช้ได้ตลอดชีวิต ก็ขอให้ลองลงทุนหุ้นดู เพราะมันไม่ได้ยุ่งยาก ไม่ได้ใช้เงินเริ่มต้นเยอะอย่างที่คิด และถ้าเทียบความเสี่ยงกับการฝากเงิน ก็เป็นความเสี่ยงที่คล้ายคลึง (ในมิติของผม) เพียงแต่หุ้นนั้นเราจะได้รับผลตอบแบบไม่ได้จำกัดเหมือนเงินฝาก หรือ ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ไม่รู้จะไปลงทุนบริษัทไหน มีมากมายเหลือเกิน ก็ให้เริ่มต้นซื้อหุ้นของ "ธนาคาร" ที่คุณนำเงินไปฝากนั่นแหละครับ เพราะ ถ้าคุณคิดว่าคุณยังได้ดอกเบี้ยและเงินต้นคืนจากการฝากเงินกับธนาคารนี้ แสดงว่า คุณมองว่าธนาคารนี้จะได้ผลตอบแทนจากการปล่อยกู้กลับมาจ่ายคืนเงินฝากคุณได้ ดังนั้นเราควรก้าวไปอีกขั้นหนึ่งคือ ไปเอาผลตอบแทนที่ธนาคารปล่อยกู้นั้นด้วย มิใช่ได้แค่เงินฝากขั้นต่ำที่ธนาคารสัญญาไว้  แล้วบทความต่อไปผมจะพาไปดูวิธีลงทุนใน "บริษัท" ต่างๆทั่วไป ที่ไม่ใช่ ธนาคาร ว่าคัดเลือกกันอย่างไรครับ     ลองดู 3 ทางเลือกด้านล่างนะครับ แล้วจะเห็นว่าความเสี่ยงของผู้ฝากเงินก็คือความเสี่ยงของบริษัทต่างๆนั่นเอง.....แล้วเหตุใดเราจึงต้องมาฝากเงินให้ได้รับผลตอบแทนต่ำติดดิน แทนที่จะไปได้รับผลตอบแทนจากบริษัทต่างๆเหล่านั้นโดยตรง

No comments:

Post a Comment