ผมแบ่งเครื่องมือออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ เครื่องมือพื้นฐาน กับ เครื่องมือทางเทคนิค โดยเครื่องมือพื้นฐาน ผมจะแยกออกเป็นสองอย่างอีกคือ จุลภาค(มุมลึก) กับมหภาค(มุมกว้าง)
สรุปออกมาเป็นภาพก็จะประมาณนี้ครับ
1. เครื่องมือพื้นฐาน
ที่เรียกกันว่าพื้นฐาน(fundamental) เพราะตัวหุ้นที่เราพูดถึงกันนั้นคือ "ธุรกิจของบริษัทหนึ่ง" ซึ่งเราจะดูว่าบริษัทนี้ดีหรือไม่ดี พื้นฐานเลย ก็คือ ดูรายงานว่าบริษัทนี้ผลประกอบการเป็นอย่างไร โดยเราเทียบได้หลายอย่าง คือ เทียบกับอดีตของบริษัทนั้นเอง หรือ เทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งเทียบกับคู่แข่งนอกอุตสาหกรรมก็ได้!
แล้วไอ้รายงานที่ว่านี้ก็คือ การดูงบการเงินนั่นเอง พอพูดถึงคำว่า "งบการเงิน" บางคนอาจไม่อยากอ่านต่อแล้วเพราะรู้สึกว่ามันต้องยาว เยอะ น่าเบื่อ เข้าใจยาก แต่ความจริงเราต้องหาหลักจับให้ถูกว่าจะเริ่มตรงไหนแล้วมันถึงจะไม่น่าเบื่อ ซึ่งมีหลายแบบครับ แล้วแต่คน อาจมองกันคนละมุมซึ่งทำให้ผลการวิเคราะห์ออกมาแตกต่างกันได้ ผมเคยคิดครับว่า อ้าว ก็งบการเงินทุกบริษัทมันก็มีอยู่แค่เล่มเดียว ทำไมต้องมีนักวิเคราะห์หลายคนมาวิเคราะห์หุ้น ทุกคนก็ดูงบการเงินเล่มเดียวกันทุกบริษัท ผลการวิเคราะห์น่าจะออกมาเหมือนๆกัน.....แต่ความจริงผลการวิเคราะห์สามารถออกมาได้แตกต่างกันมากอย่างน่าใจหายเลยครับ คุณจะเห็นว่าหุ้นตัวเดียวกันนักวิเคราะห์บางคนแนะนำ "ซื้อ" หมดตัว แต่นักวิเคราะห์บางคนแนะให้ "ขายทิ้ง" ก็มี ผมยกตัวอย่างง่ายๆอีกอย่างก็ได้ครับว่า อย่างตัวเลข 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาท) นี้ ผมถามคุณง่ายๆว่าคุณว่าเป็นตัวเลขที่มากหรือน้อย? เป็นผมต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่มากเพราะผมคิดว่าการที่จะมีเงินหนึ่งล้านบาทได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับบางคนที่รวยมากๆที่มีเงินเป็นเจ็ดแปดหมื่นล้านบาท เขาอาจบอกว่าเหมือนเลข 1 ของเราก็ได้ คือ มันน้อยมากๆสำหรับเขา.....สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ออกมาถึงแม้จะเหมือนกันทุกหน้าเหมือนงบการเงินของบริษัท นักวิเคราะห์แต่ละคนมีการวิเคราะห์ตามประสบการณ์ความรู้ความเชื่อแต่ละคน ทำให้สุดท้ายผลออกมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นถูกหรือผิดสำหรับเราอยู่ที่สุดท้ายแล้วมันบรรลุเป้าหมายการลงทุนของเรามั้ย ไม่ใช่ว่าขึ้นหรือลงกี่บาทเป๊ะๆตามที่คาดการณ์หรือไม่ โดยสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นแง่ของ "จุลภาค" ที่เราลงลึกไปที่บริษัทหนึ่งๆผ่านงบการเงิน แต่ถ้าในแง่ของ "มหภาค" จะดูสภาพแวดล้อมที่บริษัทเหล่านั้นอาศัยอยู่ โดยมองปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเหล่านั้น เช่น นโยบายการเงิน อย่างการขึ้นลงดอกเบี้ย ต้องมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทไม่มากก็น้อย ถ้าจะให้ยกตัวอย่างเพิ่มเพื่อให้เห็นภาพมหภาคมากขึ้น ก็อย่างเช่น อัตราภาษี อัตราแลกเปลี่ยน การใช้จ่ายของรัฐบาล กฏหมายการค้าในประเทศระหว่างประเทศ สัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น AEC .....หวังว่าพอจะเห็นภาพกันมากขึ้นกับวิธีดูหุ้นผ่าน "เครื่องมือพื้นฐาน" นะครับ
2.เครื่องมือทางเทคนิค
ที่เรียกว่าเทคนิค เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถยึดเป็นสรณะได้ (อย่างกับพระแน่ะ!) ผมหมายความว่ามันมีความคลาดเคลื่อนได้ตามมุมมอง ความรู้ และประสบการณ์ ของผู้ใช้เทคนิคนั้นๆ สั้นๆคือ การนำข้อมูลในอดีตของหุ้นตัวนั้นๆมาวิเคราะห์ โดยผ่านเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ เช่น สถิติ และการดูกราฟ ดังนั้น ถ้าหุ้น ก. เพิ่งเข้าตลาดมาได้เมื่อวาน (ไม่มีข้อมูลในอดีต) การใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นแทบไม่มีประโยชน์ ต้องใช้เครื่องมือพื้นฐานวิเคราะห์
ผมจะยกตัวอย่างการดูหุ้นเทคนิคแบบง่ายๆให้ฟังนะครับ สมมติ ห้าวันที่ผ่านมา(จันทร์ ถึง ศุกร์) หุ้น ข. ราคา 5 8 6 8 7 ตามลำดับ วิธีทางเทคนิควิธีหนึ่งที่นิยมคือ "การดูค่าเฉลี่ย" ซึ่งในที่นี้คือการดูค่าเฉลี่ย 5 วัน ซึ่งจะเท่ากับ (5+8+6+8+7)/5=6.8 ต่อมา วันจันทร์ถัดมาหุ้นราคาเปิดมา 6.5 บาท ถือว่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าวันที่ผ่านมาอยู่ 0.3บาท บางคนก็ตัดสินใจซื้อเลยครับ แต่ของจริงเขาดูค่าเฉลี่ยกันหลายวันก็มีเช่น เป็นร้อยๆวันก็มี มันแสดงถึงว่ายิ่งเฉลี่ยย้อนไปหลายวัน แล้วเราซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่านั้น โอกาสขาดทุนเราจะน้อยลง เพราะเหมือนกับผู้ซื้อคิดว่า โห..เราซื้อได้ถูกกว่าคนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ร้อยวันที่ผ่านมา ประมาณว่าเรามีแต้มต่อเยอะนั่นเอง .....นี่แหละครับถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคที่ยังมีอีกหลายแบบมากๆ บางอันผมก็ไม่เข้าใจเลยก็มีครับ ฮ่าๆ
คราวหน้ามาลงลึกกว่านี้กันในแต่ละเครื่องมือครับ:)
No comments:
Post a Comment