1. งบดุล (Balance Sheet)
2. งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss= P&L=Income Statement)
3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow)
4. งบส่วนเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้น (Statement of Change in Equity)
1. งบดุล
ทำไมต้อง "ดุล"......มันมาจากคำว่าสมดุล หรือ "เท่ากันทั้งสองข้าง" ในทางบัญชีนั้น เขาจะแบ่งงบออกเป็น 2 ด้าน คือ ซ้าย กับ ขวา ซึ่งทั้งสองข้างต้องเท่ากัน หรือ "ดุล" กันนั่นเอง ถ้าซ้ายมี หนึ่งร้อยบาท ขวา ก็ต้องมีหนึ่งร้อยบาท จะมี หนึ่งร้อยหนึ่งบาทไม่ได้......เอ.. แล้วไอ้ซ้ายกับขวานี้คืออะไร? ฝั่งซ้ายเป็นสิ่งที่บริษัทมีอยู่ หรือ ทรัพย์สิน (Assets) ของบริษัท (ในทางบัญชีเรียกว่า "สินทรัพย์" ไม่ใช่ ทรัพย์สิน ) เช่น สมมติมีบริษัทหนึ่งชื่อ "บริษัท ทำนาบนหลังคน จำกัด" เจ้าของบริษัทมีสองคนเป็นหุ้นส่วนกัน คือ คุณโคจิง(ชาวเกาหลี) และ คุณกระบือ(ชาวไทย) โดยสินทรัพย์ของบริษัทมีอยู่สองอย่างคือ ควาย 1 ตัว กับ จอบ 1 อัน....ตอนนี้เราก็จะได้ด้านซ้ายมาแล้วนะครับ(สินทรัพย์)....ส่วนด้านขวาคือ วิธีที่ทำให้คุณได้สินทรัพย์นั้นมา มีอยู่ 2 วิธี คือ กู้เงิน หรือ ใช้เงินตัวเอง (ในทางบัญชีวิธีกู้เงินเรียกว่า "หนี้สิน" ถ้าใช้เงินตัวเองเรียกว่า "ส่วนของเจ้าของ/ส่วนของผู้ถือหุ้น") โดยในที่นี้ผมจะสมมติให้ จอบนั้น คุณโคจิงกับคุณกระบือใช้เงินเก็บของทั้งคู่ซื้อมา ส่วน ควาย นั้น ต้องไปกู้ธนาคารมาซื้อเพราะค่อนข้างแพง ดังนั้นหน้าตางบดุลจะออกมาเป็นแบบนี้ครับ (สมมติให้ควายราคา 1000 บาท จอบราคา 50 บาท)
ผมขอสรุปนะครับว่า หลักๆแล้วงบดุลจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างมูลค่าเท่าไหร่ และได้สินทรัพย์นั้นมาอย่างไร(หนี้ หรือ ทุน)
เห็นมั้ยครับงบดุลนี้ง่ายมากๆเลย มันมีแค่นี้จริงๆครับ พอเรารู้หลักแล้วสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มมีแค่ การแยกหัวข้อย่อยที่ละเอียดขึ้น และ คำศัพท์เฉพาะ เท่านั้นเอง
- การแยกหัวข้อย่อย
- คำศัพท์
หวังว่าจะพอรู้คร่าวๆเกี่ยวกับงบดุลนะครับ คราวหน้ามาต่อ "งบกำไรขาดทุน" กัน
No comments:
Post a Comment