Monday, October 21, 2013

งบกำไรขาดทุน

    อีกเครื่องมือหนึ่งในการดูบริษัทหนึ่งๆที่จะลงทุน ซึ่งไม่สำคัญน้อยไปกว่า "งบดุล" คือ "งบกำไรขาดทุน" ชื่อก็บอกอยู่ชัดเจนอยู่แล้วนะครับว่า สิ่งที่งบตัวนี้จะแสดงคือ กำไรขาดทุนของบริษัทในรอบบัญชีหนึ่งๆก็ประมาณ สามเดือน หรือ หนึ่งปีก็แล้วแต่ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างกับ งบดุลอยู่ คือ งบดุลแสดงสินทรัพย์ หนี้สิน สถานะของบริษัทตั้งแต่วันแรกที่บริษัทเปิดทำการ แต่งบกำไรขาดทุนแสดงแค่ช่วงเวลาหนึ่งๆตามที่กำหนด ถ้าใครได้อ่าน หัวข้องบดุลแล้วนั้น จะจำได้ว่ามีหัวข้อหนึ่งเรียกว่า "ส่วนของผู้ถือหุ้น" ซึ่งตอนสุดท้าย งบกำไรขาดทุนกับงบดุลจะไปเชื่อมกันตรงนั้นครับ คือ กำไรหรือขาดทุนของบริษัทจะไปส่งผลให้เงินของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น หรือลดลงนั่นเอง....คราวนี้เรามาดูหน้าตาของงบกำไรขาดทุนกันครับ

บริษัท เจริญมาก
งบกำไรขาดทุน ปี ๒๖๖๖

                          รายได้
                              รายได้จากการขายของ    ๑๐๐๐                                                         
                          รายจ่าย
                              ต้นทุนค่าของ                     ๔๐๐
                              ค่าคนงาน                           ๒๐๐
                           ภาษี                                         ๘๐
                    กำไร(ขาดทุน)                              ๓๒๐
     
     เห็นมั้ยครับงบกำไรขาดทุนง่ายนิดเดียวเอง มีแค่รายได้ ลบ รายจ่าย ผลที่ได้คือ กำไรหรือขาดทุน แล้วเรานำ กำไรหรือ ขาดทุนที่ได้ตรงนี้ไปรวมกับส่วนของผู้ถือหุ้นทุกๆรอบบัญชีเท่านั้นเอง (เดี๋ยวบทความหลังจะนำทุกงบมารวมกันให้ดูว่ามันเชื่อมกันอย่างไรนะครับ ตอนนี้อดใจรอสักหน่อย)

     ความจริงหลักการของงบกำไรขาดทุนมีแค่ดังที่กล่าวข้างต้น แต่เพื่อความครอบคลุม จะขอกล่าวถึงประเภทของงบกำไรขาดทุนที่เขานิยมกันนะครับ มีสองแบบ คือ แบบชั้นเดียว (แบบข้างต้น) กับแบบหลายชั้น
แหล่งที่มา วิกิพีเดีย

     อาจจะงงว่าทำไมดูซับซ้อนขึ้นมากเหลือเกิน อย่าเพิ่งตกใจครับ หลักการยังเหมือนเดิม รายได้ลบรายจ่าย แต่ทางบัญชีเขาแค่ทำให้มันดูง่ายขึ้นสำหรับนักวิเคราะห์ที่ต้องการดูตัวเลขบางตัวโดยเฉพาะ ในที่นี้คือ
๑. กำไรขั้นต้น 
     เป็นกำไรที่เกิดจากรายได้และรายจ่ายของกิจกรรม "หลัก"ของบริษัท เช่น บริษัทซีพี หลักๆขายไก่ รายได้จากการขายไก่ก็เป็นรายได้หลัก รายได้รองก็เช่นพวก ขายกุ้ง ให้เช่าที่ หรือ ธุรกิจอื่นๆที่สร้างรายได้ให้ซีพีแต่ไม่มาก และในทางเดียวกัน ต้นทุนหลักๆคือ ต้นทุนที่เกิดจากการผลิตไก่ เช่น ค่าโรงเลี้ยง อาหารไก่ เป็นต้น พวก ต้นทุน เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือ แม่บ้านทำความสะอาดโรงงาน ก็ถือเป็นต้นทุนรอง

๒. กำไรจากการดำเนินงาน
     หลังจากเราได้กำไรขั้นต้นมาแล้ว ถ้าลบด้วย ต้นทุนที่เกิดจากการบริหารและขาย(ในที่นี้เรียก ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) เราจะได้ กำไรจากการดำเนินงาน โดยต้นทุนที่เกิดจากการขายและบริหารก็อย่างเช่น ซีพีหลักๆขายไก่ แต่ไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนมาซื้อไก่ที่ฟาร์มแล้วขนกลับบ้าน ต้องมีการติดต่อหาลูกค้ามาซื้อ โดยลูกค้าอาจเป็นห้างร้าน เช่น ท๊อปซุเปอร์มาเก็ต เมื่อหาลูกค้าได้แล้วก็ต้องขนไก่ไปส่งเขาแช่ตู้เย็นไว้ขายให้ลูกค้าอย่างเราๆไปซื้อ ต้นทุนตั้งแต่ส่งคนไปขายของจนขนของไปส่งเขานั้นไม่ใช่ต้นทุนหลักจากการผลิตไก่ แต่เป็นต้นทุนที่เกิดจากการขายและบริหาร

๓.กำไรก่อนหักภาษีเงินได้
     ถ้าเรานำกำไรข้อสองมาบวก กำไรอื่นๆ และ ต้นทุนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอะไรที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักเลย เช่น ค่าพนักงานรักษาความปลอดภัยเล้าไก่ หรือ ค่าใช้จ่ายรายได้ เบ็ดเตล็ด เราจะได้กำไรขาดทุนก่อนหักภาษี

๔.กำไรขาดทุนสุทธิ
     เมื่อหักภาษีออกจากกำไรข้อสาม เราก็จะได้ผลเหมือนกับกำไรขาดทุนแบบชั้นเดียวที่กล่าวไปข้างต้น 

     สรุปแบบหลายชั้นเอาไว้ทำอะไร?.....มันทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ครับ เช่น บางทีเราเห็นกำไรขั้นต้นเยอะมาก แต่ทำไมสุทธิตอนท้ายกลับขาดทุน มันเกิดอะไรขึ้น! ก็มาลองไล่ดูครับว่า เอ....บริหารงานภายในไม่ดีหรือเปล่า(กำไรจากการดำเนินงาน) หรือว่าบริษัทโดนภาษีเยอะ (กำไรก่อนหักภาษีเงินได้) 

     วันนี้ก็เอาคร่าวๆก่อนล่ะกันนะครับ เดี๋ยวจะปวดหัวกัน คราวต่อๆไปจะเขียนเรื่องการวิเคราะห์งบอย่างง่ายให้ดูกันครับ

Tuesday, September 3, 2013

ช่างจะเลิกหยอดน้ำมัน ทำไมถึงเป็นปัญหา!

     หลังจากเกิดวิกฤติตั้งแต่ปี ๒๐๐๘ ณ วันนี้ เวลาก็ล่วงเลยมากว่า ๕ ปีแล้ว หลายๆฝ่ายพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น โดยเฉพาะธนาคารกลางของสหรัฐ (Fed) ที่ถือเป็นที่จับตามองมากที่สุด เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ผมขออธิบายสักเล็กน้อยว่าทำไมธนาคารกลางของสหรัฐถึงเป็นที่จับตามองในขณะนี้
     เมื่อประเทศเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจมีความฝืดเคือง เนื่องจากคนไม่จับจ่ายใช้สอย เพราะกลัวว่าเงินจะหมด หรือกระทั่ง "ไม่มี"เงินให้ใช้ในอนาคต  ดังนั้นเมื่อตัวเฟืองเศรษฐกิจปรกติไม่สามารถหมุนไปได้ตามปรกติก็ต้องหา "ช่าง" มาหยอดน้ำมันให้เฟืองกลับมาหมุนลื่นตามปรกติ "ช่าง"ที่ผมหมายถึงมีอยู่สองคน คือ รัฐบาล (ในที่นี้จะเรียกว่า ช่างรัฐ) กับ ธนาคารกลาง (ในที่นี้จะเรียกว่า ช่างกลาง) โดยทั่วไปนักเศรษฐศาสตร์จะแบ่งเป็น นโยบายการคลัง (หยอดน้ำมันโดยรัฐบาล) และ นโยบายการเงิน (หยอดน้ำมันโดยธนาคารกลาง)
     ตามปรกติแล้ว ช่างรัฐ กับ ช่างกลาง จะร่วมมือกันหยอดน้ำมัน แต่เนื่องจากช่างรัฐช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำตัวไม่ดี ใช้เงินสิ้นเปลือง จึงไม่ค่อยจะมีกำลังไปซื้อน้ำมันมาหยอด เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างกลางเป็นตัวหลักในการหยอดน้ำมัน
     ช่วงที่เกิดวิกฤติ ๒๐๐๘ นั้น ช่างกลาง ของทุกประเทศก็ช่วยกันระดมหยอดน้ำมันกันเป็นการใหญ่ แต่ช่างกลางของอเมริกานั้นมีน้ำมันให้หยอดเยอะกว่าเพื่อน จึงต้องจับตาดูช่างกลางของอเมริกาให้ดี เพราะปริมาณน้ำมันที่หยอดมีผลต่อเศรษฐกิจทั้งโลก......แน่นอนครับรวมทั้งไทยเราด้วย

เบน เบอร์นันคี (หัวหน้าช่างกลางสหรัฐ)

     .......แล้วไอ้น้ำมันที่ช่างนำมาหยอดที่ว่านี้คืออะไร?........"เงิน" ไงครับ... เพราะเศรษฐกิจหมุนได้ด้วยเงิน ....ซึ่งเครื่องมือที่ธนาคารกลางใช้ส่งเงินเข้าสู่ระบบนั้นมีหลายอย่าง แต่หลักๆคือการเพิ่มหรือลดดอกเบี้ยในตลาดใดตลาดหนึ่ง.....เอ...แล้วการเพิ่มหรือลดดอกเบี้ยทำให้มีเงินเพิ่มเข้าระบบเศรษฐกิจได้อย่างไร.....เหตุผลคือแบบนี้ครับ

เมื่อลดดอกเบี้ยแล้ว > คนกู้เงินก็อยากกู้มากขึ้น เช่น ซื้อบ้าน  เพราะต้นทุนในการกู้ต่ำลง(เงินหมุนต่อที่๑ = คนได้เงินกู้จากธนาคาร > ต่อมาเมื่อได้เงินจากธนาคารก็นำมาจ้างผู้รับเหมาสร้างบ้าน (เงินหมุนต่อที่ ๒ = ผู้รับเหมาได้เงินจากคนที่กู้ธนาคารมา) > ต่อมาผู้รับเหมาเอาเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนลูกที่โรงเรียน (เงินหมุนต่อที่๓ = โรงเรียนได้เงินจากผู้รับเหมา >.........วงจรหมุนเงินก็จะดำนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ และ ในที่สุดเฟืองเศรษฐกิจก็จะกลับมาหมุนลื่นได้อีกครั้ง

     ข้อคิด! ลองคิดดูว่า ถ้าคนแรกไม่กู้เงินมาซื้อบ้าน ผลต่อเนื่องต่างๆที่อธิบายข้างต้นจะไม่เกิดเลย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจฝืดเคือง

     คราวนี้กลับมาที่ธนาคารกลางสหรัฐเป็นที่น่าจับตามองกันครับ.....ตอนนี้กำลังเป็นประเด็นถกเถียงกันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(ช่างกลางสหรัฐ) จะ เริ่มลดการหยอดน้ำมัน เพราะ เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว...... ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลัวว่าเมื่อช่างเริ่มหยุดหยอดน้ำมันจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฝืดเคืองใหม่อีกครั้ง ดังนั้นผลที่เกิดในแง่ของการลงทุนคือ นักลงทุนกลัวความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และเริ่มถอนเงินลงทุนจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น..... ถ้าใครสังเกตช่วงเดือน(ส.ค.)ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ราคาทองเริ่มปรับตัวขึ้น (เพราะคนคิดว่าปลอดภัยกว่าหุ้น) ค่าเงินของประเทศในกลุ่มEmerging ปรับตัวอ่อนมาก (เพราะเงินไหลออก) โดยเฉพาะ อินเดีย อินโดนีเซีย บราซิล ที่ค่าเงินอ่อนไปกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งถือว่าเยอะมากๆครับ......โดยในแง่ของการลงทุนตลาดหุ้นอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในช่วงท้ายปีนี้ เหมือนกับปีที่ผ่านมาครับ

Sunday, August 25, 2013

เครื่องมือพื้นฐาน(จุลภาค) ตอน "งบดุล"

     ตามที่บอกไว้ในหัวข้อ "เครื่องมือช่วยเหลือ" นะครับว่า การใช้เครื่องมือพื้นฐานแบบจุลภาค คือ การลงไปดูที่ตัวบริษัทนั้นโดยตรงผ่านงบการเงิน โดยงบการเงินนั้นมี 4 แบบ คือ

1. งบดุล (Balance Sheet)
2. งบกำไรขาดทุน (Profit and Loss= P&L=Income Statement)
3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow)
4. งบส่วนเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้น (Statement of Change in Equity)

1. งบดุล

     ทำไมต้อง "ดุล"......มันมาจากคำว่าสมดุล หรือ "เท่ากันทั้งสองข้าง" ในทางบัญชีนั้น เขาจะแบ่งงบออกเป็น 2 ด้าน คือ ซ้าย กับ ขวา ซึ่งทั้งสองข้างต้องเท่ากัน หรือ "ดุล" กันนั่นเอง ถ้าซ้ายมี หนึ่งร้อยบาท ขวา ก็ต้องมีหนึ่งร้อยบาท จะมี หนึ่งร้อยหนึ่งบาทไม่ได้......เอ.. แล้วไอ้ซ้ายกับขวานี้คืออะไร?  ฝั่งซ้ายเป็นสิ่งที่บริษัทมีอยู่ หรือ ทรัพย์สิน (Assets) ของบริษัท (ในทางบัญชีเรียกว่า "สินทรัพย์" ไม่ใช่ ทรัพย์สิน ) เช่น สมมติมีบริษัทหนึ่งชื่อ "บริษัท ทำนาบนหลังคน จำกัด" เจ้าของบริษัทมีสองคนเป็นหุ้นส่วนกัน คือ คุณโคจิง(ชาวเกาหลี) และ คุณกระบือ(ชาวไทย) โดยสินทรัพย์ของบริษัทมีอยู่สองอย่างคือ ควาย 1 ตัว กับ จอบ 1 อัน....ตอนนี้เราก็จะได้ด้านซ้ายมาแล้วนะครับ(สินทรัพย์)....ส่วนด้านขวาคือ วิธีที่ทำให้คุณได้สินทรัพย์นั้นมา มีอยู่ 2 วิธี คือ กู้เงิน หรือ ใช้เงินตัวเอง (ในทางบัญชีวิธีกู้เงินเรียกว่า "หนี้สิน" ถ้าใช้เงินตัวเองเรียกว่า "ส่วนของเจ้าของ/ส่วนของผู้ถือหุ้น") โดยในที่นี้ผมจะสมมติให้ จอบนั้น คุณโคจิงกับคุณกระบือใช้เงินเก็บของทั้งคู่ซื้อมา ส่วน ควาย นั้น ต้องไปกู้ธนาคารมาซื้อเพราะค่อนข้างแพง ดังนั้นหน้าตางบดุลจะออกมาเป็นแบบนี้ครับ (สมมติให้ควายราคา 1000 บาท จอบราคา 50 บาท)


    
     ผมขอสรุปนะครับว่า หลักๆแล้วงบดุลจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์อะไรอยู่บ้างมูลค่าเท่าไหร่ และได้สินทรัพย์นั้นมาอย่างไร(หนี้ หรือ ทุน)

     เห็นมั้ยครับงบดุลนี้ง่ายมากๆเลย  มันมีแค่นี้จริงๆครับ พอเรารู้หลักแล้วสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มมีแค่ การแยกหัวข้อย่อยที่ละเอียดขึ้น และ คำศัพท์เฉพาะ เท่านั้นเอง

  • การแยกหัวข้อย่อย
               ทั้งสินทรัพย์และหนี้สินมีการแยกย่อยลงไปอีกว่าเป็นระยะสั้น หรือ ระยะยาวเพื่อง่ายต่อการประเมินค่าของบริษัทในแต่ละจุดประสงค์ (สั้น,ยาว) ในทางบัญชีใช้คำว่า "หมุนเวียน" แทนระยะสั้น และ "ไม่หมุนเวียน" แทนระยะยาว ดังนั้นเราต้องคุ้นเคยต่อไปจากนี้ว่า สินทรัพย์หรือหนี้สินหมุนเวียนคือระยะสั้น และ สินทรัพย์หรือหนี้สินไม่หมุนเวียนคือระยะยาว...โดยที่ความแตกต่างของสั้นและยาวคือ1 ปี ถ้าสินทรัพย์นั้นๆใช้ได้หรือมีอายุมากกว่า 1 ปี ก็จัดเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (เช่น อาคาร) ถ้ากู้เงินมา แล้วต้องคืนภายใน  1 ปี ก็ถือเป็นหนี้สินหมุนเวียน เป็นต้น
  • คำศัพท์
               ส่วนคำศัพท์นั้นเราก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆครับ กูเกิ้ลเอาก็ได้ เพราะคงแจงตรงนี้ไม่หมด มันเยอะมาก ใครสงสัยอันไหนเป็นพิเศษอีเมลมาถามผมได้ครับ

หวังว่าจะพอรู้คร่าวๆเกี่ยวกับงบดุลนะครับ คราวหน้ามาต่อ "งบกำไรขาดทุน" กัน

Monday, August 12, 2013

"เครื่องมือช่วยเหลือ"

     เมื่อเราสนใจที่จะเล่นหุ้นด้วยตัวเองแล้ว เราก็จะมาดูกันว่า "เครื่องมือช่วยเหลือ" ที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์ได้นั้นมีอะไรบ้าง ผมอาจแบ่งไม่เหมือนชาวบ้านเขาเล็กน้อยนะครับ แต่ก็มาลองดูกัน

     ผมแบ่งเครื่องมือออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ เครื่องมือพื้นฐาน กับ เครื่องมือทางเทคนิค  โดยเครื่องมือพื้นฐาน ผมจะแยกออกเป็นสองอย่างอีกคือ จุลภาค(มุมลึก) กับมหภาค(มุมกว้าง)

สรุปออกมาเป็นภาพก็จะประมาณนี้ครับ


1. เครื่องมือพื้นฐาน

     ที่เรียกกันว่าพื้นฐาน(fundamental) เพราะตัวหุ้นที่เราพูดถึงกันนั้นคือ "ธุรกิจของบริษัทหนึ่ง" ซึ่งเราจะดูว่าบริษัทนี้ดีหรือไม่ดี พื้นฐานเลย ก็คือ ดูรายงานว่าบริษัทนี้ผลประกอบการเป็นอย่างไร โดยเราเทียบได้หลายอย่าง คือ เทียบกับอดีตของบริษัทนั้นเอง หรือ เทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งเทียบกับคู่แข่งนอกอุตสาหกรรมก็ได้!
     แล้วไอ้รายงานที่ว่านี้ก็คือ การดูงบการเงินนั่นเอง พอพูดถึงคำว่า "งบการเงิน" บางคนอาจไม่อยากอ่านต่อแล้วเพราะรู้สึกว่ามันต้องยาว เยอะ น่าเบื่อ เข้าใจยาก  แต่ความจริงเราต้องหาหลักจับให้ถูกว่าจะเริ่มตรงไหนแล้วมันถึงจะไม่น่าเบื่อ ซึ่งมีหลายแบบครับ แล้วแต่คน  อาจมองกันคนละมุมซึ่งทำให้ผลการวิเคราะห์ออกมาแตกต่างกันได้ ผมเคยคิดครับว่า อ้าว ก็งบการเงินทุกบริษัทมันก็มีอยู่แค่เล่มเดียว ทำไมต้องมีนักวิเคราะห์หลายคนมาวิเคราะห์หุ้น ทุกคนก็ดูงบการเงินเล่มเดียวกันทุกบริษัท ผลการวิเคราะห์น่าจะออกมาเหมือนๆกัน.....แต่ความจริงผลการวิเคราะห์สามารถออกมาได้แตกต่างกันมากอย่างน่าใจหายเลยครับ คุณจะเห็นว่าหุ้นตัวเดียวกันนักวิเคราะห์บางคนแนะนำ "ซื้อ" หมดตัว แต่นักวิเคราะห์บางคนแนะให้ "ขายทิ้ง" ก็มี ผมยกตัวอย่างง่ายๆอีกอย่างก็ได้ครับว่า อย่างตัวเลข 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาท) นี้ ผมถามคุณง่ายๆว่าคุณว่าเป็นตัวเลขที่มากหรือน้อย? เป็นผมต้องบอกว่าเป็นตัวเลขที่มากเพราะผมคิดว่าการที่จะมีเงินหนึ่งล้านบาทได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับบางคนที่รวยมากๆที่มีเงินเป็นเจ็ดแปดหมื่นล้านบาท เขาอาจบอกว่าเหมือนเลข 1 ของเราก็ได้ คือ มันน้อยมากๆสำหรับเขา.....สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ออกมาถึงแม้จะเหมือนกันทุกหน้าเหมือนงบการเงินของบริษัท นักวิเคราะห์แต่ละคนมีการวิเคราะห์ตามประสบการณ์ความรู้ความเชื่อแต่ละคน ทำให้สุดท้ายผลออกมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นถูกหรือผิดสำหรับเราอยู่ที่สุดท้ายแล้วมันบรรลุเป้าหมายการลงทุนของเรามั้ย ไม่ใช่ว่าขึ้นหรือลงกี่บาทเป๊ะๆตามที่คาดการณ์หรือไม่  โดยสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นแง่ของ "จุลภาค" ที่เราลงลึกไปที่บริษัทหนึ่งๆผ่านงบการเงิน แต่ถ้าในแง่ของ "มหภาค" จะดูสภาพแวดล้อมที่บริษัทเหล่านั้นอาศัยอยู่ โดยมองปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทเหล่านั้น เช่น นโยบายการเงิน อย่างการขึ้นลงดอกเบี้ย ต้องมีผลต่อผลประกอบการของบริษัทไม่มากก็น้อย ถ้าจะให้ยกตัวอย่างเพิ่มเพื่อให้เห็นภาพมหภาคมากขึ้น ก็อย่างเช่น อัตราภาษี อัตราแลกเปลี่ยน การใช้จ่ายของรัฐบาล กฏหมายการค้าในประเทศระหว่างประเทศ สัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น AEC .....หวังว่าพอจะเห็นภาพกันมากขึ้นกับวิธีดูหุ้นผ่าน "เครื่องมือพื้นฐาน" นะครับ

2.เครื่องมือทางเทคนิค

     ที่เรียกว่าเทคนิค เพราะมันเป็นเครื่องมือที่ไม่สามารถยึดเป็นสรณะได้ (อย่างกับพระแน่ะ!) ผมหมายความว่ามันมีความคลาดเคลื่อนได้ตามมุมมอง ความรู้ และประสบการณ์ ของผู้ใช้เทคนิคนั้นๆ สั้นๆคือ การนำข้อมูลในอดีตของหุ้นตัวนั้นๆมาวิเคราะห์ โดยผ่านเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ เช่น สถิติ และการดูกราฟ ดังนั้น ถ้าหุ้น ก. เพิ่งเข้าตลาดมาได้เมื่อวาน (ไม่มีข้อมูลในอดีต) การใช้เครื่องมือทางเทคนิคนั้นแทบไม่มีประโยชน์ ต้องใช้เครื่องมือพื้นฐานวิเคราะห์
     ผมจะยกตัวอย่างการดูหุ้นเทคนิคแบบง่ายๆให้ฟังนะครับ สมมติ ห้าวันที่ผ่านมา(จันทร์ ถึง ศุกร์) หุ้น ข. ราคา 5 8 6 8 7 ตามลำดับ วิธีทางเทคนิควิธีหนึ่งที่นิยมคือ "การดูค่าเฉลี่ย" ซึ่งในที่นี้คือการดูค่าเฉลี่ย 5 วัน ซึ่งจะเท่ากับ (5+8+6+8+7)/5=6.8 ต่อมา วันจันทร์ถัดมาหุ้นราคาเปิดมา 6.5 บาท ถือว่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าวันที่ผ่านมาอยู่ 0.3บาท บางคนก็ตัดสินใจซื้อเลยครับ แต่ของจริงเขาดูค่าเฉลี่ยกันหลายวันก็มีเช่น เป็นร้อยๆวันก็มี มันแสดงถึงว่ายิ่งเฉลี่ยย้อนไปหลายวัน แล้วเราซื้อหุ้นได้ราคาต่ำกว่านั้น โอกาสขาดทุนเราจะน้อยลง เพราะเหมือนกับผู้ซื้อคิดว่า โห..เราซื้อได้ถูกกว่าคนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ร้อยวันที่ผ่านมา ประมาณว่าเรามีแต้มต่อเยอะนั่นเอง  .....นี่แหละครับถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางเทคนิคที่ยังมีอีกหลายแบบมากๆ บางอันผมก็ไม่เข้าใจเลยก็มีครับ ฮ่าๆ

คราวหน้ามาลงลึกกว่านี้กันในแต่ละเครื่องมือครับ:)

Saturday, August 3, 2013

วิธีเลือกหุ้นตอน "เชื่อตัวเอง"

 


      ในเมื่อเราลงทุนด้วยเงินของเราเอง ทำไมเราต้องให้คนอื่นเป็นคนเลือกหุ้นให้ หุ้นตัวไหนเหมาะกับเรา ตัวของเรารู้ดีที่สุด (ไม่มีใครรู้จักคุณดีเท่าตัวของคุณเอง) แต่บางคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า....แล้วทำไมต้องเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเราเองด้วยล่ะ?   ทำไมไม่เลือกหุ้นที่ได้กำไรเยอะๆ เพราะจุดประสงค์ของบางคน คือ "ได้กำไรให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้" หุ้นอะไรก็ได้ ไม่สนใจ ผมบอกได้เลยว่าถ้าคุณมีเป้าหมายการลงทุนแบบนี้ ในระยะยาว คุณจะไม่มีอะไรเหลือ เพราะมันเป็นเป้าหมายแห่งความ "โลภ" คุณต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอน เช่น ไว้ใช้ยามเกษียณ, ส่งลูกเรียน, ซื้อบ้านซื้อรถ เป็นต้น เป้าหมายจะทำให้คุณรู้ตัวว่า คุณต้องได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเท่าไหร่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของคุณ บางคนคำนวนไปมา กลับกลายเป็นไม่ต้องลงทุนหุ้นให้เสี่ยงด้วยซ้ำ เช่น คนโสดกับคนมีครอบครัว ภาระต้องต่างกันแน่นอน!......แต่หัวข้อนี้เป็นเรื่องของการเลือกหุ้น ไม่ใช่การวางเป้าหมาย ดังนั้น เรากลับมาที่คำถามข้างต้นที่ว่า แล้วทำไมต้องเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย?.....คำตอบคือ

1.ดีต่อสุขภาพ

     บางคนอาจจะงงครับ แต่เป็นเรื่องจริง!....เพราะว่า ถ้าคุณเลือกหุ้นที่เหมาะกับตนเอง หุ้นตัวนั้นจะสอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต และประวัติของคุณ เช่น คุณทำงานในโรงแรม ควรจะซื้อหุ้นเกี่ยวกับโรงแรม เพราะคุณรู้ระบบภายในภายนอกของโรงแรมมากกว่าทุกคน!  ดังนั้นเวลาหุ้นโรงแรมที่คุณมีอยู่ปรับตัวลดลงมากๆ คุณจะเป็นคนแรกๆที่เข้าใจ และยอมรับมันได้อย่างไม่เครียด  เช่น ปีนี้มีฟุตบอลโลกที่บราซิลทำให้นักท่องเที่ยวไปบราซิลกันหมด ทำให้หุ้นโรงแรมประเทศอื่นผลประกอบการในปีนี้ไม่ดี(รวมถึงหุ้นที่คุณมี)  ราคาหุ้นจึงปรับตัวลดลง  เมื่อคุณทำงานด้านนี้คุณจะรู้ว่าหุ้นปรับตัวลงแค่ระยะสั้น ฟุตบอลโลกจบ นักท่องเที่ยวก็กลับมาใหม่    แต่ในทางกลับกันลองนึกภาพว่า สมมติ นาย ก. เปิดพอร์ตการลงทุนหุ้นที่โบรคเกอร์แห่งหนึ่ง โบรคเกอร์แนะนำซื้อหุ้นโรงแรม นาย ก. ก็ซื้อตามแบบงงๆ ต่อมาอีก 2 เดือน หุ้นโรงแรมตัวนั้นตก นาย ก. ตกใจมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมหุ้นตก โบรคเกอร์อธิบายให้นาย ก. ฟังถึงเหตุผล นาย ก. ก็เข้าใจ แต่ก็ยังไม่หายกังวลใจว่า ราคาหุ้นจะตกต่อไปหรือไม่ เกิดอาการเครียดนอนไม่หลับ เพราะลงไปเยอะเสียด้วย ต่อมาเริ่มเครียมากขึ้นจนมีผลต่อหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว จึงตัดสินใจขายขาดทุนหุ้นโรงแรมตัวนั้นเพื่อความสบายใจ และเจ็บใจกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าอีกหกเดือนต่อมา ราคาหุ้นปรับตัวกลับขึ้นมา!.........หวังว่าคงเข้าใจมากขึ้นว่าดีต่อสุขภาพอย่างไรนะครับ:)

2.ต่อยอดด้วยความสนุกสนาน

     การเล่นหุ้นสำหรับผมเหมือนเรียนหนังสือ ให้เรียนในสิ่งที่ไม่ถนัด ไม่ชอบ หรือ ไม่เหมาะสมกับเรานั้น ความก้าวหน้าก็เกิดขึ้นได้ยาก เหมือนกับการเล่นหุ้น ถ้าคุณไปซื้อหุ้นในอุตสาหกรรมที่คุณนึกภาพไม่ออกเลยว่ามันทำกำไรอย่างไร? ขายอะไร? สิ่งที่เกิดคือ คุณก็แค่ตั้งหน้าตั้งตาดูแต่ ราคาหุ้น แต่ไม่สนใจจะดูที่ ตัวหุ้น จริงๆ
     คุณจะต่อภาพไม่ถูกเลยว่าอะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อการขึ้นลงของหุ้นที่คุณถืออยู่ เพราะคุณไม่รู้ไส้ในของมัน และเมื่อคุณไม่รู้ปัจจัยที่ทำให้หุ้นตัวนั้นขึ้นลง คุณก็จะไม่สามารถคาดการณ์อะไรในอนาคตได้เลยแม้แต่น้อย (รอโชคช่วยอย่างเดียว) จึงทำให้คุณรู้สึกว่าตลาดหุ้นมันก็แค่การพนันดีๆนี่เอง ถ้าใครมีความคิดแบบนี้ อาจต้องปรับความคิดกันสักเล็กน้อย เพราะพนักงานของบริษัทที่มีหุ้นอยู่ในตลาด ตั้งแต่ประธานบริษัท(CEO) ถึงแม่บ้าน เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทออกมาดี ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้น แต่คุณกลับมีความคิดว่าที่ราคาหุ้นขึ้นลง มิได้มีเหตุผลอื่นรองรับนอกจาก โชคชะตา!

     กลับมาที่การดูหุ้นที่เหมาะสมกับคุณ(บ่นไปไกลอีกแล้ว) ขอย้ำว่า ซื้อหุ้นที่ตัวเองชอบนั้นไปได้ไกลกว่าแน่นอน

     ดังนั้นก่อนที่จะซื้อหุ้นขอให้คุณหันกลับมามองตัวเองว่าคุณชอบอะไร มีความถนัดอะไร มีประสบการณ์ด้านไหน เรียนอะไรมา แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการเล่นหุ้นของคุณ จะมีประโยชน์มหาศาลกว่าไปถามชาวบ้านว่าเล่นหุ้นอะไรกันแล้วซื้อตามเขา บางทีคุณจะพบว่าตัวเองนั่งอ่านเรื่องเกี่ยวกับหุ้นนั้นๆได้เป็นวันๆ หรือ สามารถคาดการณ์ผลกระทบล่วงหน้าที่มีต่อหุ้นนั้นได้จากการฟังหรืออ่านข่าวเพียงสั้นๆ.....ซึ่งลักษณะนี้สนุกกว่าคุณลงทุนแบบไม่รู้อะไรเลย หวังแต่กำไรอย่างเดียวเป็นไหนๆ ลงทุนแบบที่ผมแนะนำนี้ ได้ทั้งความรู้ และกำไร!

Monday, July 22, 2013

ผมเป็นใคร?

ชื่อ: อิสรินทร์ ดุรงค์เดช

การศึกษา:

ป.ตรี  - เศรษฐศาสตร์, ธรรมศาสตร์ 2552

ป.โท - MBA, Oklahoma State University 2558

ป.โท - MS, Quantitative Financial Economics, Oklahoma State University 2558

ป.เอก - Ph.D., Finance, Oklahoma State University (อยู่ระหว่างการศึกษา)

ประวัติการทำงาน:
ที่ปรึกษาการลงทุน TMB Asset Management  ระหว่างปี 2552-2555

Sunday, July 21, 2013

วิธีเลือกหุ้น ตอน "เชื่อใครดี?"

     หลังจากอ่าน วิธีเลือกหุ้น ตอน "ความเชื่อ" และเปิดใจรับ "หุ้น" เข้ามาในชีวิต (ดูน้ำเน่าชอบกล) เราจะพบกับความยากลำบากลำดับที่สอง คือ มีหุ้นมากมายให้เราเลือกซื้อ บางคนไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน เพื่อหวังว่าจะเป็นที่พึ่งคลายความสงสัย แต่.....กลับงงมากกว่าเดิมก็มี!  เพราะหนังสือหุ้นอัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่ควรจะรู้ทั้งหมด โดยไม่ได้เรียงลำดับ หนึ่ง สอง สาม ไว้ให้ว่าอะไรควรจะรู้ก่อน หรือ อะไรที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ ดังนั้นบางคนอ่านไปได้สามสี่หน้า ก็โยนทิ้ง....ผมมีหลักว่า  1 ดีกว่า 100 คือ ถ้ามีหลักการอยู่ 100 เรื่อง ได้ 1 เรื่อง ดีกว่า ไม่ได้สักเรื่องเลย เหมือนกับ หนังสือหุ้น ถ้าเปิดมาอ่านสามหน้าแล้วโยนทิ้งต่อให้มีอะไรดีๆอยู่ในหนังสือนั้นสัก 100 เรื่อง ก็ไม่มีประโยชน์ สู้รู้แค่เรื่องเดียวยังไม่ได้ เผลอๆ พอรู้ 1 เรื่องแบบทะลุปรุโปร่งแล้ว กลายเป็นว่าไฟแห่งการเรียนรู้ลุกโชน และศึกษาอย่างหนักก็เป็นได้ ดังนั้นสำหรับผมแล้วการเริ่มต้นให้ถูกต้องนั้นมีความสำคัญมาก ต่อการเรียนรู้ในลำดับถัดไป

     ผมมีวิธีเลือกหุ้นเบื้องต้นที่ไม่ต้องไปดูงบกระแสเงินสด, วัฏจักรเศรษฐกิจ, อัตราส่วนทางการเงิน, สภาพคล่อง, ข่าววงใน ฯลฯ อะไรเหล่านี้ให้เสียเวลา......(ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่สำคัญนะครับ แต่อยากเก็บเกี่ยวทุกคนรวมถึงคนที่ขี้เกียจรู้อะไรเยอะ เอาแบบง่ายๆ ไม่งั้นไม่เอาเลย ประเภทนี้ด้วย) แต่ก่อนที่คุณจะเชื่อผม! ขอเกริ่นไปถึงบุคคลอื่นๆที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนของคุณด้วยเพื่อให้เข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของกลุ่มคนเหล่านั้น

     1. โบรคเกอร์หุ้น
     2. ที่ปรึกษาการลงทุน
     3. คนใกล้ชิด = เพื่อน ญาติ แฟน ฯลฯ

 - ความแตกต่างของเบอร์ 1 กับ เบอร์ 2 คือ โบรคเกอร์แนะนำซื้อขายเรื่องหุ้นอย่างเดียว แต่ "ที่ปรึกษาการลงทุน" จะดูภาพใหญ่ คือ ดูประวัติคุณ ดูจุดประสงค์ในการลงทุน และอาจแนะนำลงทุนอย่างอื่นที่ไม่ใช่หุ้นร่วมด้วยได้

1. โบรคเกอร์หุ้น



     นักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อเปิดพอร์ตหุ้นใหม่ๆ โบรคเกอร์จะเป็นคนดูแลแนะนำซื้อขาย ซึ่งผมครั้งหนึ่งเคยคุยกับคุณป้าท่านหนึ่งที่มีพอร์ตการลงทุนหุ้นอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง คุณป้าเล่าให้ฟังว่า โบรคเกอร์ที่ดูแลคุณป้าอยู่ เขาแนะนำให้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับ "โทรคมนาคม" เพราะมีอนาคตที่ดี ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ ใน 3-6 เดือนข้างหน้า และคุณป้าได้ตกลงซื้อไปเป็นเงิน 100,000 บาท แล้วด้วยความกังวล จึงมาถามผมว่า "หุ้นตัวนี้ดีมั้ย"......ผมจึงถามคุณป้ากลับไปว่า "คุณป้ารู้มั้ยครับว่าโทรคมนาคม คืออะไร" คุณป้าตอบว่า "ก็โทรศัพท์มือถือไง" แล้วผมถามต่อว่า "โบรคเกอร์เค้าบอกคุณป้ามั้ยครับว่าเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า คืออะไร" คุณป้าตอบว่า "ก็ไม่รู้....เค้าบอกแค่ว่าแนวโน้มดี ป้าก็เชื่อเค้า" ผมจึงถามต่อว่า "แล้วถ้าใน 3-6 เดือนข้างหน้า มันตกล่ะครับ" คุณป้าบอกว่า "ก็ขาย" (พร้อมเสียงหัวเราะแห้งๆ)

    จุดประสงค์ที่ผมต้องการจะสื่อจากบทสนทนาข้างต้น คือ

1. คุณป้าซื้อหุ้นกับโบรคเกอร์รายนี้ทั้งๆที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆน้อยมาก แต่"เชื่อ"ด้วยความสนิทใจกับโบรคเกอร์รายนั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ทำกำไรให้กันมาก่อน หรือ สนิทกันมานานแล้วก็สุดแล้วแต่ แต่ผมขอบอกว่าเป็นการเชื่อที่ผิด!

2. เราต้องรู้ว่า โบรคเกอร์มีแรงจูงใจที่จะกระตุ้นให้นักลงทุนซื้อขายหุ้น เนื่องจากโบรคเกอร์ได้ค่าคอมมิสชั่น(commission) หรือ ค่านายหน้า จากการซื้อขายหุ้นของนักลงทุน ขอย้ำว่าทั้ง ซื้อ และ ขาย ......ถ้าคุณมีเงินมาก โบรคเกอร์อาจแนะนำให้ซื้อๆๆๆๆ เพราะ โบรคเกอร์อยากให้ยอดเงินรวมที่เขาดูแลอยู่มีจำนวนมากๆ แต่ถ้าคุณมีเงินไม่เยอะ โบรคเกอร์จะแนะนำให้คุณซื้อขาย ซื้อขาย เพื่อให้เกิดค่านายหน้ามากที่สุด (ซึ่งเป็นรายได้ของเขาและของบริษัท)*

*ขอบอกก่อนว่าอันนี้เป็นสมมติฐานของผมเอง เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันมีผลประโยชน์ขัดแย้งกันอยู่

3. ส่วนใหญ่แล้วในบริษัทหลักทรัพย์จะมี 2 แผนกที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดคือ ส่วนโบรคเกอร์ที่ดูแลลูกค้า และ ฝ่ายวิจัย ซึ่งข้อมูลที่โบรคเกอร์ส่วนใหญ่เอามาแนะนำลูกค้า ส่วนใหญ่มาจากฝ่ายวิจัยของบริษัทอีกทีหนึ่ง เพราะมันเสี่ยงที่โบรคเกอร์จะมานั่งคัดหุ้นให้ลูกค้าเอง เนื่องจากไม่มีคนให้โยนความผิด เพราะถ้าหุ้นตัวที่โบรคเกอร์แนะนำเกิดแย่ โบรคเกอร์ยังอ้างฝ่ายวิจัยได้ > ฝ่ายวิจัยก็อ้างต่อได้ว่าข้อมูล "ผิด" > ข้อมูลอ้างต่อไม่ได้เพราะไม่มีชีวิต! (ข้อมูลเป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุด)**

** แต่อย่าเข้าใจผิดว่าบทวิจัยของฝ่ายวิจัยไม่ดีนะครับ เค้าทำอย่างมีแบบแผนมาก คือ ดูงบการเงิน ดูเศรษฐกิจมหภาค จุลภาพ ดูตัวเลขวิเคราะห์ คุยกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ฯลฯ แต่ประเด็นผมตรงนี้ไม่ใช่ว่าบริษัทหลักทรัพย์แหกตา หรือ หลอกลวงนักลงทุน แต่ให้เข้าใจกระบวนการและแรงจูงใจในเบื้องต้นของโบรคเกอร์ เพื่อจะได้นำมาเปรียบเทียบหรือพิจารณากับทางเลือกอื่นๆที่ผมจะกล่าวต่อไป

2. ที่ปรึกษาการลงทุน


     ที่ปรึกษาการลงทุนจะมองในมุมกว้างมากกว่า brokerหุ้นในแง่ของการให้คำปรึกษา เช่น มองเรื่องจุดประสงค์ในการลงทุน การรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน ฯลฯ และสามารถแนะนำสินทรัพย์ในการลงทุนอื่นๆนอกจากหุ้นตามความเหมาะสมได้อีกด้วย  แต่อย่างไรก็ตามที่ปรึกษาการลงทุนบางส่วนก็มีโครงสร้างทางผลประโยชน์ที่ขัดแย้งเหมือนกับที่กล่าวไว้ในส่วนของโบรคเกอร์หุ้น  ดังนั้นผมจะไม่กล่าวถึงตรงนี้อีก เพราะซ้ำซ้อน
     โดยในหัวข้อนี้จะสมมติให้ไม่มีผลประโยชน์ต่อเนื่องหลังจากที่ปรึกษาการลงทุนให้คำแนะนำเรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ นักลงทุนอาจจ่ายค่าที่ปรึกษาครั้งเดียวเป็นอัตราเหมาจ่าย ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้ในอนาคต  ดังนั้นความไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ อาจทำให้ที่ปรึกษาการลงทุนมีความเชื่อถือได้มากกว่า อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจทำให้เรายืนด้วยขาของตัวเอง และสามารถเลือกหุ้นเพื่อลงทุนอย่างมั่นใจได้อยู่ดี เพราะ

1. หลายๆครั้งที่ปรึกษาการลงทุนจะจัดสรรให้ลงกองทุนหุ้น แทนที่จะเป็นหุ้นรายตัว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นโดยรวม (หาอ่านเรื่อง"กองทุน"เบื้องต้นได้ที่หัวข้อ "เกริ่นนำ") โดยเหตุผลอาจเป็นเรื่องค่าธรรมเนียมที่ต่ำหรือความง่ายในการอธิบาย  ซึ่งผมไม่ได้มองว่าผิดอะไร แต่!ไม่ได้สร้าง "ความรู้" ให้กับเราในการลงทุนหุ้นรายตัว

2. ถึงแม้ว่าที่ปรึกษาการลงทุนมิได้แนะนำกองทุนหุ้นให้ แต่แนะนำเป็นหุ้นรายตัวมาให้ ก็มีแนวโน้มสูงว่า เขาจะจัดหุ้นมาให้เลือกด้วยเกณฑ์ที่เขามองว่ามีเหตุผล เช่น กลุ่มหุ้นเติบโตแรง  กลุ่มหุ้นปันผล  กลุ่มหุ้นไม่ผันผวน ฯ ซึ่งก็ไม่ได้เพิ่มความรู้ในการที่จะเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้สักเท่าไหร่

3. และถึงแม้ที่ปรึกษาการลงทุนจะแนะนำเป็นหุ้นรายตัวให้ เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเหมาะสมกับเราหรือไม่ อีกอย่างถ้าจะมานั่งอธิบายกันอย่างละเอียด ให้เข้าใจโครงสร้างของหุ้นตัวนั้นๆ ต้องบอกว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายแก่ที่ปรึกษาการลงทุน จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

     สรุปแล้วที่ปรึกษาการลงทุนก็ยังไม่ใช่กลุ่มที่เราจะเชื่อและทำตามด้วย "แบบ" หรือ "สไตล์" ที่เป็นเรา แต่เป็น "แบบ" ที่เป็นของที่ปรึกษาการลงทุนที่เขาคิดว่าเหมาะสม!

3. คนใกล้ชิด


     คนใกล้ชิดนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลกับการลงทุนมาก เพราะรารู้ข้อมูล "ส่วนตัว" หรือ "ประสบการณ์จริง" ของบุคคลกลุ่มนี้ เช่น เพื่อนของเราบอกเราว่าลงทุนในหุ้น ก. แล้วกำไรดี อีกสองวันต่อมา ญาติโทรมาบอกว่าเขาลงทุนในหุ้น ก. ได้กำไรเอาไปเที่ยวยุโรปมาแล้ว   เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ เรามีแนวโน้มที่จะลงทุนในหุ้น ก. ตามเพื่อนและญาติของเรา แต่หารู้ไม่ว่าหุ้น ก.นั้น ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว เราไปซื้อตอนที่ราคามันแพงแล้ว  ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจซื้อหุ้น ก. ราคาก็ไม่วิ่งขึ้นเหมือนดังที่คาดคิดตามที่เพื่อนและญาติของเรากล่าวอ้าง 
     ผมมีคำเตือนอย่างหนึ่งว่า เวลาใดก็ตามที่คนรอบตัวเราเริ่มมาโม้ให้ฟังว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้มันดีจริงๆ แล้วชักชวนให้ลงทุนกันเป็นการใหญ่ เหตุการณ์แบบนี้แสดงว่า หุ้นตัวนั้น อาจเป็น "หุ้นตื่น" หมายความว่า ที่เขามาชักชวนเราเพราะเขาได้กำไรจากหุ้นตัวนั้น จึงมาชวนคนรู้จักให้ไปลงทุนด้วยกัน พอหลายๆคน เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเข้าซื้อ ราคาก็ปรับตัวขึ้นอย่างไร้เหตุผล เพราะคนที่เข้าซื้อก็ไร้เหตุผล ซื้อเพราะเขาบอกกันว่าดี! บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นที่ซื้อไปคือหุ้นอะไร ต่อมาเมื่อคนกลุ่มหนึ่งเริ่มรู้ตัว(ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มแรกที่ไปชวนคนอื่นซื้อ)ว่ามันขึ้นสูงไปแล้ว จึงเทขายออกมา ทำให้ราคาหุ้นเริ่มหักหัวลง เมื่อนักลงทุนที่เข้าไปแบบไร้เหตุผลเห็นราคาหุ้นเริ่มตกทุกวันๆ ก็ "ตื่นกลัว" ขายหุ้นกันหมดทุกคน ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมาแรง........ฉะนั้นจงระวังไว้เมื่อมีคนเริ่มแห่กันซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ให้เราหยุดและพิจารณาดูให้ดีก่อนว่าควรจะแห่ตามเขามั้ย.........

      ดังนั้นการเชื่อคนใกล้ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ถึงแม้เขาจะหวังดีก็ตาม.......อ่านกันมาตั้งนานอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าเชื่อใครดี.............เชื่อ "ตัวเอง" ครับ

    ในบทความหน้าจะพาไปดูว่า "เชื่อตัวเอง" อย่างไร...