หลังจากอ่าน วิธีเลือกหุ้น ตอน "ความเชื่อ" และเปิดใจรับ "หุ้น" เข้ามาในชีวิต (ดูน้ำเน่าชอบกล) เราจะพบกับความยากลำบากลำดับที่สอง คือ
มีหุ้นมากมายให้เราเลือกซื้อ บางคนไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน เพื่อหวังว่าจะเป็นที่พึ่งคลายความสงสัย แต่.....กลับงงมากกว่าเดิมก็มี! เพราะหนังสือหุ้นอัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่ควรจะรู้
ทั้งหมด โดยไม่ได้เรียงลำดับ หนึ่ง สอง สาม ไว้ให้ว่าอะไรควรจะรู้ก่อน หรือ อะไรที่ไม่ต้องรู้ก็ได้ ดังนั้นบางคนอ่านไปได้สามสี่หน้า ก็โยนทิ้ง....ผมมีหลักว่า 1 ดีกว่า 100 คือ ถ้ามีหลักการอยู่ 100 เรื่อง ได้ 1 เรื่อง ดีกว่า ไม่ได้สักเรื่องเลย เหมือนกับ หนังสือหุ้น ถ้าเปิดมาอ่านสามหน้าแล้วโยนทิ้งต่อให้มีอะไรดีๆอยู่ในหนังสือนั้นสัก 100 เรื่อง ก็ไม่มีประโยชน์ สู้รู้แค่เรื่องเดียวยังไม่ได้ เผลอๆ พอรู้ 1 เรื่องแบบทะลุปรุโปร่งแล้ว กลายเป็นว่าไฟแห่งการเรียนรู้ลุกโชน และศึกษาอย่างหนักก็เป็นได้ ดังนั้นสำหรับผมแล้วการเริ่มต้นให้ถูกต้องนั้นมีความสำคัญมาก ต่อการเรียนรู้ในลำดับถัดไป
ผมมีวิธีเลือกหุ้นเบื้องต้นที่ไม่ต้องไปดูงบกระแสเงินสด, วัฏจักรเศรษฐกิจ, อัตราส่วนทางการเงิน, สภาพคล่อง, ข่าววงใน ฯลฯ อะไรเหล่านี้ให้เสียเวลา......(ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่สำคัญนะครับ แต่อยากเก็บเกี่ยวทุกคนรวมถึงคนที่ขี้เกียจรู้อะไรเยอะ เอาแบบง่ายๆ ไม่งั้นไม่เอาเลย ประเภทนี้ด้วย) แต่ก่อนที่คุณจะเชื่อผม! ขอเกริ่นไปถึงบุคคลอื่นๆที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนของคุณด้วยเพื่อให้เข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของกลุ่มคนเหล่านั้น
1. โบรคเกอร์หุ้น
2. ที่ปรึกษาการลงทุน
3. คนใกล้ชิด = เพื่อน ญาติ แฟน ฯลฯ
- ความแตกต่างของเบอร์ 1 กับ เบอร์ 2 คือ โบรคเกอร์แนะนำซื้อขายเรื่องหุ้นอย่างเดียว แต่ "ที่ปรึกษาการลงทุน" จะดูภาพใหญ่ คือ ดูประวัติคุณ ดูจุดประสงค์ในการลงทุน และ
อาจแนะนำลงทุนอย่างอื่นที่ไม่ใช่หุ้นร่วมด้วยได้
1. โบรคเกอร์หุ้น
นักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อเปิดพอร์ตหุ้นใหม่ๆ โบรคเกอร์จะเป็นคนดูแลแนะนำซื้อขาย ซึ่งผมครั้งหนึ่งเคยคุยกับคุณป้าท่านหนึ่งที่มีพอร์ตการลงทุนหุ้นอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง คุณป้าเล่าให้ฟังว่า โบรคเกอร์ที่ดูแลคุณป้าอยู่ เขาแนะนำให้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับ "โทรคมนาคม" เพราะมีอนาคตที่ดี ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ ใน 3-6 เดือนข้างหน้า และคุณป้าได้ตกลงซื้อไปเป็นเงิน 100,000 บาท แล้วด้วยความกังวล จึงมาถามผมว่า "หุ้นตัวนี้ดีมั้ย"......ผมจึงถามคุณป้ากลับไปว่า "คุณป้ารู้มั้ยครับว่าโทรคมนาคม คืออะไร" คุณป้าตอบว่า "ก็โทรศัพท์มือถือไง" แล้วผมถามต่อว่า "โบรคเกอร์เค้าบอกคุณป้ามั้ยครับว่าเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า คืออะไร" คุณป้าตอบว่า "ก็ไม่รู้....เค้าบอกแค่ว่าแนวโน้มดี ป้าก็เชื่อเค้า" ผมจึงถามต่อว่า "แล้วถ้าใน 3-6 เดือนข้างหน้า มันตกล่ะครับ" คุณป้าบอกว่า "ก็ขาย" (พร้อมเสียงหัวเราะแห้งๆ)
จุดประสงค์ที่ผมต้องการจะสื่อจากบทสนทนาข้างต้น คือ
1. คุณป้าซื้อหุ้นกับโบรคเกอร์รายนี้ทั้งๆที่มีข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆน้อยมาก แต่"เชื่อ"ด้วยความสนิทใจกับโบรคเกอร์รายนั้น ซึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ทำกำไรให้กันมาก่อน หรือ สนิทกันมานานแล้วก็สุดแล้วแต่ แต่ผมขอบอกว่าเป็นการเชื่อที่ผิด!
2. เราต้องรู้ว่า โบรคเกอร์มีแรงจูงใจที่จะกระตุ้นให้นักลงทุนซื้อขายหุ้น เนื่องจากโบรคเกอร์ได้ค่าคอมมิสชั่น(commission) หรือ ค่านายหน้า จากการซื้อขายหุ้นของนักลงทุน ขอย้ำว่าทั้ง
ซื้อ และ
ขาย ......ถ้าคุณมีเงินมาก โบรคเกอร์อาจแนะนำให้ซื้อๆๆๆๆ เพราะ โบรคเกอร์อยากให้ยอดเงินรวมที่เขาดูแลอยู่มีจำนวนมากๆ แต่ถ้าคุณมีเงินไม่เยอะ โบรคเกอร์จะแนะนำให้คุณซื้อขาย ซื้อขาย เพื่อให้เกิดค่านายหน้ามากที่สุด (ซึ่งเป็นรายได้ของเขาและของบริษัท)*
*ขอบอกก่อนว่าอันนี้เป็นสมมติฐานของผมเอง เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันมีผลประโยชน์ขัดแย้งกันอยู่
3. ส่วนใหญ่แล้วในบริษัทหลักทรัพย์จะมี 2 แผนกที่ทำงานกันอย่างใกล้ชิดคือ
ส่วนโบรคเกอร์ที่ดูแลลูกค้า และ
ฝ่ายวิจัย ซึ่งข้อมูลที่โบรคเกอร์ส่วนใหญ่เอามาแนะนำลูกค้า ส่วนใหญ่มาจากฝ่ายวิจัยของบริษัทอีกทีหนึ่ง เพราะมันเสี่ยงที่โบรคเกอร์จะมานั่งคัดหุ้นให้ลูกค้าเอง เนื่องจากไม่มีคนให้โยนความผิด เพราะถ้าหุ้นตัวที่โบรคเกอร์แนะนำเกิดแย่ โบรคเกอร์ยังอ้างฝ่ายวิจัยได้ > ฝ่ายวิจัยก็อ้างต่อได้ว่าข้อมูล "ผิด" > ข้อมูลอ้างต่อไม่ได้เพราะไม่มีชีวิต! (ข้อมูลเป็นแพะรับบาปที่ดีที่สุด)**
** แต่อย่าเข้าใจผิดว่าบทวิจัยของฝ่ายวิจัยไม่ดีนะครับ เค้าทำอย่างมีแบบแผนมาก คือ ดูงบการเงิน ดูเศรษฐกิจมหภาค จุลภาพ ดูตัวเลขวิเคราะห์ คุยกับผู้บริหารบริษัทต่างๆ ฯลฯ แต่ประเด็นผมตรงนี้ไม่ใช่ว่าบริษัทหลักทรัพย์แหกตา หรือ หลอกลวงนักลงทุน แต่ให้เข้าใจกระบวนการและแรงจูงใจในเบื้องต้นของโบรคเกอร์ เพื่อจะได้นำมาเปรียบเทียบหรือพิจารณากับทางเลือกอื่นๆที่ผมจะกล่าวต่อไป
2. ที่ปรึกษาการลงทุน
ที่ปรึกษาการลงทุนจะมองในมุมกว้างมากกว่า brokerหุ้นในแง่ของการให้คำปรึกษา เช่น มองเรื่องจุดประสงค์ในการลงทุน การรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน ฯลฯ และสามารถแนะนำสินทรัพย์ในการลงทุนอื่นๆนอกจากหุ้นตามความเหมาะสมได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามที่ปรึกษาการลงทุนบางส่วนก็มีโครงสร้างทางผลประโยชน์ที่ขัดแย้งเหมือนกับที่กล่าวไว้ในส่วนของโบรคเกอร์หุ้น ดังนั้นผมจะไม่กล่าวถึงตรงนี้อีก เพราะซ้ำซ้อน
โดยในหัวข้อนี้จะสมมติให้ไม่มีผลประโยชน์ต่อเนื่องหลังจากที่ปรึกษาการลงทุนให้คำแนะนำเรียบร้อยแล้ว กล่าวคือ นักลงทุนอาจจ่ายค่าที่ปรึกษาครั้งเดียวเป็นอัตราเหมาจ่าย ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่นักลงทุนจะได้ในอนาคต ดังนั้นความไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนนี้ อาจทำให้ที่ปรึกษาการลงทุนมีความเชื่อถือได้มากกว่า อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจทำให้เรายืนด้วยขาของตัวเอง และสามารถเลือกหุ้นเพื่อลงทุนอย่างมั่นใจได้อยู่ดี เพราะ
1. หลายๆครั้งที่ปรึกษาการลงทุนจะจัดสรรให้ลงกองทุนหุ้น แทนที่จะเป็นหุ้นรายตัว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นโดยรวม (หาอ่านเรื่อง"กองทุน"เบื้องต้นได้ที่หัวข้อ "เกริ่นนำ") โดยเหตุผลอาจเป็นเรื่องค่าธรรมเนียมที่ต่ำหรือความง่ายในการอธิบาย ซึ่งผมไม่ได้มองว่าผิดอะไร แต่!ไม่ได้สร้าง "ความรู้" ให้กับเราในการลงทุนหุ้นรายตัว
2. ถึงแม้ว่าที่ปรึกษาการลงทุนมิได้แนะนำกองทุนหุ้นให้ แต่แนะนำเป็นหุ้นรายตัวมาให้ ก็มีแนวโน้มสูงว่า เขาจะจัดหุ้นมาให้เลือกด้วยเกณฑ์ที่เขามองว่ามีเหตุผล เช่น กลุ่มหุ้นเติบโตแรง กลุ่มหุ้นปันผล กลุ่มหุ้นไม่ผันผวน ฯ ซึ่งก็ไม่ได้เพิ่มความรู้ในการที่จะเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับตัวเราเองได้สักเท่าไหร่
3. และถึงแม้ที่ปรึกษาการลงทุนจะแนะนำเป็นหุ้นรายตัวให้ เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเหมาะสมกับเราหรือไม่ อีกอย่างถ้าจะมานั่งอธิบายกันอย่างละเอียด ให้เข้าใจโครงสร้างของหุ้นตัวนั้นๆ ต้องบอกว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายแก่ที่ปรึกษาการลงทุน จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สรุปแล้วที่ปรึกษาการลงทุนก็ยังไม่ใช่กลุ่มที่เราจะเชื่อและทำตามด้วย "แบบ" หรือ "สไตล์" ที่เป็นเรา แต่เป็น "แบบ" ที่เป็นของที่ปรึกษาการลงทุนที่เขาคิดว่าเหมาะสม!
3. คนใกล้ชิด
คนใกล้ชิดนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลกับการลงทุนมาก เพราะรารู้ข้อมูล "ส่วนตัว" หรือ "ประสบการณ์จริง" ของบุคคลกลุ่มนี้ เช่น เพื่อนของเราบอกเราว่าลงทุนในหุ้น ก. แล้วกำไรดี อีกสองวันต่อมา ญาติโทรมาบอกว่าเขาลงทุนในหุ้น ก. ได้กำไรเอาไปเที่ยวยุโรปมาแล้ว เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ เรามีแนวโน้มที่จะลงทุนในหุ้น ก. ตามเพื่อนและญาติของเรา แต่หารู้ไม่ว่าหุ้น ก.นั้น ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว เราไปซื้อตอนที่ราคามันแพงแล้ว ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจซื้อหุ้น ก. ราคาก็ไม่วิ่งขึ้นเหมือนดังที่คาดคิดตามที่เพื่อนและญาติของเรากล่าวอ้าง
ผมมีคำเตือนอย่างหนึ่งว่า เวลาใดก็ตามที่คนรอบตัวเราเริ่มมาโม้ให้ฟังว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้มันดีจริงๆ แล้วชักชวนให้ลงทุนกันเป็นการใหญ่ เหตุการณ์แบบนี้แสดงว่า หุ้นตัวนั้น อาจเป็น
"หุ้นตื่น" หมายความว่า ที่เขามาชักชวนเราเพราะเขาได้กำไรจากหุ้นตัวนั้น จึงมาชวนคนรู้จักให้ไปลงทุนด้วยกัน พอหลายๆคน เป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเข้าซื้อ ราคาก็ปรับตัวขึ้นอย่างไร้เหตุผล เพราะคนที่เข้าซื้อก็ไร้เหตุผล ซื้อเพราะเขาบอกกันว่าดี! บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นที่ซื้อไปคือหุ้นอะไร ต่อมาเมื่อคนกลุ่มหนึ่งเริ่มรู้ตัว(ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มแรกที่ไปชวนคนอื่นซื้อ)ว่ามันขึ้นสูงไปแล้ว จึงเทขายออกมา ทำให้ราคาหุ้นเริ่มหักหัวลง เมื่อนักลงทุนที่เข้าไปแบบไร้เหตุผลเห็นราคาหุ้นเริ่มตกทุกวันๆ ก็ "ตื่นกลัว" ขายหุ้นกันหมดทุกคน ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมาแรง........ฉะนั้นจงระวังไว้เมื่อมีคนเริ่มแห่กันซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ให้เราหยุดและพิจารณาดูให้ดีก่อนว่าควรจะแห่ตามเขามั้ย.........
ดังนั้นการเชื่อคนใกล้ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ถึงแม้เขาจะหวังดีก็ตาม.......อ่านกันมาตั้งนานอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าเชื่อใครดี.............เชื่อ "ตัวเอง" ครับ
ในบทความหน้าจะพาไปดูว่า "เชื่อตัวเอง" อย่างไร...